ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลลงไปหลายเรื่อง เช่น หน้าตาห้องโดยสาร อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
รถไฟญี่ปุ่น ประภาพร ขอเสนอให้ชมค่ะ อีกทางเลือกของการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น

คำว่า Shinkansen ไม่ได้แปลว่ารถไฟหัวกระสุน
แต่แปลว่า ทางรถไฟสายใหม่
(Shin แปลว่า ใหม่ ส่วน Sen แปลว่าเส้นทาง)
ใน ญี่ปุ่น คำนี้ใช้เรียกรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นชั้นสูงที่สุดของรถไฟญี่ปุ่น ที่เรียกเป็นทางการว่า Super Express กันจนติดปาก เหมือนบ้านเราเรียกผงซักฟอกว่า แฟ้บ หรือ เรียกผ้าอนามัยว่า โกเต็ก ประมาณนั้น
แล้วด้วยความที่ หน้าตาชินคันเซนรุ่นแรก มันกลมมนเหมือนหัวกระสุนปืน และวิ่งเร็วสุดสุด (ในสมัยนั้น)
ชินคันเซ็นเลยมีชื่อเล่นว่า Bullet Train
แล้วบ้านเราก็แปลตรงตัวไปเลยว่า รถไฟหัวกระสุน
คน ญี่ปุ่นเริ่มคิดสร้างชินคันเซนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 ยุคที่เมืองไทยอันพาลกำลังครองเมือง ตอนนั้นที่ญี่ปุ่นรถไฟกำลังจะครองใจคนทั้งประเทศ
เค้าฝันอยากจะมี Dream Super Express ที่สามารถวิ่งจาก โตเกียว ถึง โอซาก้า ระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ได้ภายใน 3 ชั่วโมง
โอ้ว! ยามาโมโต้.... มันขี้โม้มาก
สมัยเมื่อ 50 ปีก่อน ใครมาพูดเรื่องนี้คงขำก๊าก และอุทานแบบนี้กันไปทั้งบาง
สมัยนั้นรถไฟญี่ปุ่นใช้ความเร็วไม่ต่างจากรถไฟไทย ที่วิ่งจากกรุงเทพถึงลำปางในเวลาสิบกว่าชั่วโมง (ตอนนี้ก็ยังวิ่งเท่านี้อยู่)
ดูแผนที่ญี่ปุ่นประกอบไปด้วยนะค่ะ จะได้นึกภาพออก
โตเกียวอยู่ในเขตคันโต ตรงกลางประเทศ
ส่วนโอซาก้าอยู่ในเขตคินคิ (หรือคันไซ) อยู่ถัดมาทางใต้ของเกาะฮอนชู
ห่างกันประมาณ 500 กม.

ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ตั้งใจทำอะไรแล้ว ต้อง(บ้าคลั่ง)ทำจนสำเร็จ
2 ปีต่อมาหลังจากคิดฝันโครงการใหญ่
พ.ศ. 2502 ก็เริ่มลงมือสร้างทางรถไฟจากโตเกียว ไป โอซาก้า ทันที
และ เริ่มวิจัยพัฒนา กับ สร้างรถทดสอบ (Class 1000) ทดลองวิ่งไปพร้อม ๆ กัน
เรียกเส้นทางรถไฟชินคันเซนสายแรกนี้ว่า Tokaido Shinkansen (โทะไคโด ชินคันเซน) ได้ชื่อมาจาก ชื่อถนนโบราณระหว่างเมืองเกียวโต กับเอโดะ (หรือโตเกียวในปัจจุบัน)
เปิดตัววิ่งรถเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2507 ด้วย 000 Series (ศูนย์สามตัว) วิ่งระหว่างโตเกียว กับ โอซาก้า
มีรถวิ่งเข้าวิ่งออก ณ ปีที่เปิดตัว วันละ 60 เที่ยว!!
ปัจจุบันสายโทะไคโด มีชินคันเซนวิ่งเข้า-ออก 200 กว่าเที่ยวต่อวัน เกือบทุก 7 นาทีจะมีรถออกขบวนนึง
สมัยนั้นแบ่งขบวนรถเป็น 2 แบบ คือ
1. Hikari (ฮิคาริ แปลว่า แสง) วิ่ง Tokyo-Osaka ในเวลา 4 ชั่วโมง จอดแต่สถานีหลัก
2. Kodama (โคดามะ แปลว่า เสียงสะท้อน) ถึงโอซาก้าในเวลา 5 ชั่วโมง เพราะจอดดะทุกสถานี เป็นชินคันเซนหวานเย็น
ส่วนขบวนที่ชื่อ Nozomi (โนโซมิ) กว่าจะเกิดก็ต้องรอไปจนถึงปี 2535 นู่น
รูปนี้เป็น 000 Series ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2509 ไม่ได้บอกว่าถ่ายที่ไหน
วิวคุ้น ๆ เหมือนจะเป็นเกียวโต

รุ่นแรก ชื่อรหัส 000 Series
เริ่มผลิตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ผลิตกันต่อเนื่องยาวนานมาถึง 22 ปี หยุดผลิตไปเมื่อปี 2529
หน้าตาอ้วนกลมน่ารัก และคลาสสิคซ่ะ...
ตรง หัวรถเห็นว่าลอกแบบมาจากเครื่องบินรุ่น DC-8 ที่ใช้บินส่งคนสมัยนั้น เพราะคนออกแบบคงอยากสื่อให้เห็นว่า การเดินทางด้วยชินคันเซ็นสะดวกรวดเร็วเหมือนนั่งเครื่องบิน
ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 220 กม./ชม. แต่วิ่งจริงเฉลี่ยจะไม่ถึง 200 เพราะเทคโนโลยียังไม่ดี ทำเสียงดังหนวกหูชาวบ้าน
รถแรงต้องฐานล้อกว้าง ๆ ด้วยความเร็วขนาดนี้เลยทำให้ต้องสร้างรางของใหม่หมด ให้เป็นมาตรฐาน European Standard Gauge ที่ 1.435 เมตร
ซึ่งรางรถไฟของ JR แบบปกติ จะเป็น Caps Gauge กว้าง 1.067 เมตร เลยเอารถไฟความเร็วสูงกว่า 200 กม./ชม. มาวิ่งไม่ได้
ส่วนรถไฟไทยรางเป็นแบบประหยัดต้นทุน เป็น Meter Gauge กว้าง 1 เมตร เพื่อให้เข้ากับรางรถไฟเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
000 Series แบบมาตรฐาน 1 ขบวนจะมีตู้โดยสารประมาณ 12 หรือ 16 ตู้ แล้วแต่รุ่น

ตอนนี้ 000 Series ที่ยังเหลืออยู่นอกพิพิธภัณฑ์ ถูกเอามาปรับปรุง และลดชั้นลงมาเป็นรถด่วน (Limited Express) วิ่งอยู่ที่ Fukuoka
โดยตัดตู้ออก เหลือ 6 ตู้ต่อขบวน ใช้วิ่งระยะทางสั้น ๆ แค่ 8.5 กม. ใช้เวลาวิ่ง 10 นาที จากสถานี Hakata ไปสถานี Minami-hakata
ใช้ชื่อสายว่า Hakata Minami line บริหารโดย JR West
กลายเป็นสายอนุรักษ์ให้นั่งชื่นชมบรรยากาศเก่า ๆ ไปซ่ะงั้น
ถ้าใครอยากนั่ง 000 Series หมดโอกาสซ่ะแล้ว
เพราะเดือนพฤศจิกายน ปี 2551 JR West ได้ยกเลิกการใช้งาน 000 Series ทั้งหมด หลังจากคุณปู่ 000 Series ถูกปลุกชีพปั๊มหัวใจอยู่ให้บริการมายาวนานกว่า 40 ปี
หลังจากนี้คนที่อยากย้อนอดีตใช้บริการนั่ง ฮาคาตะ มินามิไลน์ จะได้นั่ง 100 Series รุ่นปัดฝุ่น แทน
ทาง JR West จะจัดงานซาโยนาระ 000 Series กันที่ Hakata อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 51 นี่เอง

ขบวนที่ถูกปลอดระวาง ก็จะทยอยนำไปทาสีเดิม (น้ำเงิน-ขาว) แล้วส่งให้มิวเซี่ยมทั่วโลก เปลี่ยนของขวัญบ้าง ต่างตอบแทนบ้าง ขายให้ก็มีบ้าง
ขบวนนี้กำลังลำเลียงลงเรือ ส่งไปพิพิธภัณฑ์เมือง York ประเทศอังกฤษ

สีขบวนรถตอนที่ยังอยู่ภายในการดูแลของ JR West ก่อนปลดระวาง
เป็นลายดำเขียว

ภายใน 000 Series จะแคบกว่าชินคันเซนรุ่นอื่น ๆ ชั้นปกติ (Ordinary Car) จะมีเบาะแค่ 4 แถว และพื้นปูด้วยกระเบื้องยางสังเคราะห์ ไม่ได้ปูพรม

หลังจากประสบความสำเร็จด้วยดีกับทางรถไฟสาย Tokaido
(ตามรูปหมายเลข 1 สีแดง)
เดือนมีนาคม ปี 2510 ทาง Japanese National Railways (JNR) หรือ การรถไฟญี่ปุ่น สมัยยังเป็นรัฐวิสาหกิจ ก็เริ่มก่อสร้าง ต่อขยายรางชินคันเซนจากโอซาก้า ลงใต้ไปเป็นช่วง ๆ ไปถึง Okayama, Hiroshima จนสุดทางที่ Fukuoka เมื่อปี 2518
สร้างนานหน่อย เพราะต้องทำ Shin-Kanmon Tunnel อุโมงค์ลอดใต้ทะเลยาว 18.7 กม. ระหว่างเกาะฮอนชูกับคิวชู ก่อน
JNR ตั้งชื่อทางรถไฟสายใหม่นี้ว่า Sanyo Shinkansen (ซันโย ชินคันเซน) ตามรูปเส้นทางหมายเลข 2 สีน้ำเงิน
ขบวนรถที่วิ่งเส้นทางใหม่นี้ ยังใช้ชื่อว่า ฮิคาริ กับ โคดามะ เหมือนกับสายโทะไคโด
เพียงแต่โคดามะของสายโทะไคโด จะวิ่งจากโตเกียวไปสุดสายที่โอซาก้า แยกจากโคดามะของซันโย ที่เริ่มวิ่งจากโอซาก้าลงไปถึงฟุคุโอกะ
ชื่อเหมือนกันแต่ต่างคนต่างวิ่งในเส้นทางของตัวเอง